เลือกอ่าน Headline ที่น่าสนใจ
- ประเภทของการศัลยกรรมหน้าอก
- ชนิดของซิลิโคน ความพุ่งและขนาดซิลิโคน
- วิธีการผ่าตัดและการวางซิลิโคน
- ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยง
- เสริมหน้าอกแบบทั่วไป VS เสริมหน้าอกส่องกล้อง ต่างกันอย่างไร?
- ขั้นตอนการศัลยกรรมหน้าอกที่ BLS Surgery Center
- การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- การดูแลหลังผ่าตัด
- รีวิวศัลยกรรมหน้าอก อกสวยธรรมชาติ ทรงละมุน ที่ BLS Surgery Center
การศัลยกรรมหน้าอก เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่างหรือเพิ่มความมั่นใจในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมขนาด ลดขนาด หรือยกกระชับ BLS Surgery Center คลินิกเสริมหน้าอกแรกๆ ในประเทศไทยที่นำเทคนิคใหม่ล่าสุด! ผ่าตัดผ่านกล้อง Endoscopic มาใช้ในการศัลยกรรมหน้าอกอย่างชำนาญ โดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง หมอเอิร์ธ เสริมหน้าอก หรือ นพ. ศุภกร ตั้งจิรคภัณฑ์ (SUPHAKORN TANGCHIRAKHAPHAN, MD.) ว.48272 ชวนคนที่กำลังมีแพลนจะทำศัลยกรรมหน้าอก มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของการศัลยกรรมหน้าอก ขั้นตอน วัสดุและเทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัด เจาะลึกเกี่ยวกับการส่องกล้องเสริมหน้าอก (Endoscopic Breast) ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดและการดูแลหลังการผ่าตัด ซึ่งจะช่วยให้คนไข้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น กับ 9 ข้อน่ารู้เบื้องต้นสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจ ศัลยกรรมหน้าอก
รู้ก่อนตัดสินใจเลือก คลินิกเสริมหน้าอก ราคาคุ้มค่า
1. ประเภทของการศัลยกรรมหน้าอก ที่ BLS Surgery Center
การศัลยกรรมหน้าอกในปัจจุบัน ไม่ได้มีเพียงการเสริมขนาดให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีรูปแบบที่หลากหลายตามความต้องการของผู้เข้ารับบริการ ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับ ลดขนาด หรือการแก้หน้าอกที่ไม่สมมาตร โดยการเลือกวิธีที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากสภาพร่างกาย ความต้องการ และคำแนะนำจากศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญอย่างรอบคอบ
1.1 เสริมหน้าอก (Breast Augmentation)
การเสริมหน้าอก คือ การเพิ่มขนาดของหน้าอกให้มีรูปทรงที่สวยงาม และเหมาะสมกับรูปร่างของแต่ละคน โดยใช้ซิลิโคนเป็นวัสดุในการเสริม ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งแบบทรงกลมและทรงหยดน้ำตามความต้องการของผู้รับบริการ จุดประสงค์ของการทำหน้าอกไม่ได้มีเพียงแค่เพิ่มขนาด แต่ยังรวมถึงการแก้หน้าอกที่หย่อนคล้อย หรือไม่เท่ากันให้ดูสวยงามและมั่นใจมากขึ้น
การผ่าตัดมักใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง และมีการพักฟื้นอยู่ที่ประมาณ 3-7 วัน ซึ่งผลลัพธ์หลังผ่าตัดจะเห็นได้ชัดเจนทันที แต่จะเข้าที่อย่างเต็มที่ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้น หน้าอกจะดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
1.2 ยกกระชับหน้าอก (Breast Lift หรือ Mastopexy)
สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น การให้นมบุตร หรือการลดน้ำหนัก การยกกระชับหน้าอกจะช่วยทำให้รูปทรงหน้าอกกลับมาเต่งตึงและได้รูปทรงที่สวยงาม โดยไม่มีการเพิ่มขนาดหน้าอก การเลือกใช้เทคนิคและการเปิดแผล โดยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อย ร่วมกับการพิจารณาของศัลยแพทย์
- ลดขนาดหน้าอก (Reduction Mammaplasty)
การลดขนาดหน้าอกเหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่เกินไปจนส่งผลต่อสุขภาพ เช่น ปวดหลัง ปวดไหล่ หรือมีรอยแดงจากสายเสื้อชั้นใน โดยการผ่าตัดจะเอาเนื้อเยื่อไขมันและผิวหนังส่วนเกินออก เพื่อให้หน้าอกมีขนาดเล็กลงและได้รูปทรงที่เหมาะสมกับรูปร่าง - เสริมและยกกระชับหน้าอก (Augmentation Mastopexy)
ในบางกรณี ผู้หญิงอาจมีหน้าอกที่ทั้งเล็กและหย่อนคล้อย การผ่าตัดแบบเสริมและยกกระชับหน้าอกจึงเป็นการรวมสองเทคนิคเข้าด้วยกัน คือเสริมด้วยซิลิโคนพร้อมกับยกกระชับหน้าอกให้ได้รูปในครั้งเดียว เพื่อผลลัพธ์ที่ดูสวยงาม สมดุล และมั่นใจมากขึ้น
2. ชนิดของซิลิโคน ความพุ่งและขนาดซิลิโคน
ซิลิโคนคือวัสดุหลักที่ใช้ในการเสริมหน้าอก โดยมีคุณสมบัติเฉพาะที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับร่างกายมนุษย์ และผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย การเลือกซิลิโคนที่เหมาะสม ทั้งในแง่ของรูปร่าง ผิวสัมผัส ความพุ่งและขนาดของของซิลิโคน จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
2.1 รูปร่างของซิลิโคน
รูปร่างของซิลิโคนยอดนิยม มี 2 แบบ คือ
- ซิลิโคนทรงหยดน้ำ (Tear Drop หรือ Anatomical Shape)
ข้อดี : เลียนแบบทรงอกสวยธรรมชาติ มีความอยู่ทรง ช่วยเพิ่มระดับความพุ่งมากขึ้น
เหมาะกับ : คนที่ต้องการลุคธรรมชาติ เหมือนรูปทรงของหน้าอกจริง
ผลลัพธ์ : หน้าอกดูเป็นธรรมชาติ - ซิลิโคนทรงกลมกึ่งหยดน้ำ (Ergonomix Shape)
ข้อดี : มีความยืดหยุ่นสูง ปรับเปลี่ยนรูปทรงตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ผิวสัมผัสเนื้อเจลนิ่ม ไม่เป็นก้อน ให้สัมผัสใกล้เคียงหน้าอกจริง
เหมาะกับ : คนที่ต้องการหน้าอกสวยธรรมชาติ ดูไม่โป๊ะ คนที่มีเนื้อหน้าอกน้อย และต้องการให้ซิลิโคนเข้ารูปกับร่างกายได้ดี
ผลลัพธ์ : หน้าอกดูละมุน กลมเนียน ไม่โดดออกจากสรีระ สัมผัสนุ่มคล้ายหน้าอกจริง
การเลือกทรงที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสรีระและความต้องการของแต่ละคน รวมถึงการปรึกษากับศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการประเมินรูปร่าง
2.2 ผิวของซิลิโคน
ผิวของซิลิโคนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- ผิวเรียบ (Smooth) เปลือกซิลิโคนบางเบา ให้สัมผัสนุ่มนวล ลดความเสี่ยงของการเกิดริ้วบนเต้านม
- ผิวทราย (Textured) เปลือกซิลิโคนหนา ผิวสัมผัสหยาบ ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว
- ซิลิโคนผิว Nano Surface ผิวสัมผัสอ่อนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ และช่วยยับยั้งการเกิดพังผืดหดรัดซิลิโคนได้
2.3 “ระดับความพุ่ง” ของซิลิโคนหน้าอก
การเลือก “ระดับความพุ่ง” ของซิลิโคนหน้าอก ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อรูปทรงหน้าอกหลังเสริม ไม่ใช่แค่ขนาดหรือยี่ห้อเท่านั้น แต่ “ความพุ่ง” หรือที่เรียกว่า Projection จะช่วยกำหนดว่า หน้าอกจะยื่นออกมามากน้อยแค่ไหนจากลำตัว ที่อาจแตกต่างกันตามความต้องการและรูปร่างของแต่ละคน โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับหลักๆ
- ความพุ่งน้อย (Mini Projection)
เหมาะกับสาวๆ ที่ชื่นชอบลุคหน้าอกสวยธรรมชาติและไม่อยากให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนจนเกินไป ซิลิโคนแบบ Mini Projection คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด ซิลิโคนแบบนี้จะทำให้หน้าอกดูมีรูปทรงอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเป็น “เวอร์ชันอัพเกรด” ของหน้าอกเดิม ไม่ยื่นจนเกินไปและไม่ดูโป๊ะ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาวๆ ที่มีเนื้อหน้าอกน้อยและอยากให้ผลลัพธ์ดูกลมกลืนกับสรีระเดิม - ความพุ่งปานกลาง (Demi Projection)
เป็นระดับกลางระหว่างธรรมชาติกับความอิ่มฟู จุดเด่นของซิลิโคนประเภทนี้คือสามารถให้ความรู้สึกว่า “มีหน้าอก” เพิ่มขึ้น แต่ไม่มากจนเกินไป ช่วยให้รูปร่างดูบาลานซ์ ไม่แน่นเกินหรือแบนจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่อยากให้หน้าอกดูมีเนินมากขึ้น แต่ยังคงความละมุนและความธรรมชาติไว้ เหมาะกับสาวที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมบางหรือมีความกังวลเรื่องความพุ่งที่อาจทำให้ดูโดดเกินไป - ความพุ่งจัดเต็ม (Full Projection)
เหมาะกับสาวๆ ที่อยากให้การทำหน้าอกให้เปลี่ยนชัดเจน Full Projection เป็นทางเลือกยอดนิยม จุดเด่นคือช่วยให้ทรงหน้าอกดูชัดเจน กลมเต็ม มีมิติ และมีวอลุ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับสาวที่มีโครงสร้างตัวค่อนข้างใหญ่ หรือมีพื้นที่หน้าอกมากพอ รองรับน้ำหนักของซิลิโคนที่พุ่งเยอะโดยไม่ทำให้ดูไม่สมดุล - ความพุ่งขั้นสุด (Corse Projection)
ซิลิโคนแบบ Corse คือรุ่นที่มีความพุ่งมากที่สุดในตลาดตอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นรุ่นอัปไซซ์ขั้นสุด เหมาะกับคนที่อยากได้ลุคหน้าอกชัด เปลี่ยนลุคเดิมไปเลย เห็นผลชัดเจนตั้งแต่วันแรกหลังเสริม เหมาะกับคนที่มีฐานหน้าอกกว้างและมีเป้าหมายให้ทรวดทรงเปลี่ยนแปลงแบบเห็นได้ชัด เช่น นางแบบ หรือผู้ที่ต้องการภาพลักษณ์ที่โดดเด่น
2.4 การเลือกขนาดซิลิโคน
การเลือกขนาดของซิลิโคนไม่ใช่เพียงแค่การเลือกให้หน้าอกใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงความสมดุลของร่างกาย บวกกับความต้องการของคนไข้ ร่วมกับคำแนะนำจากแพทย์ โดยทั่วไปการขนาดซิลิโคนที่เหมาะสม จะอยู่ในช่วง 200-400 cc แต่ขนาดที่เหมาะสมที่สุดคือขนาดที่ให้ผลลัพธ์อกสวยธรรมชาติ และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
3. วิธีการผ่าตัดและการวางซิลิโคน
หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่สุดของการเสริมหน้าอกคือวิธีการผ่าตัดและตำแหน่งการวางซิลิโคน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลลัพธ์หลังผ่าตัด ทั้งในเรื่องของรูปร่าง ความเป็นธรรมชาติ และการฟื้นตัว
3.1 ตำแหน่งเปิดแผล
การเลือกตำแหน่งเปิดแผลมีผลต่อการซ่อนแผล และการฟื้นตัวของแผลในระยะยาว ซึ่งตำแหน่งยอดนิยมมีทั้งหมด 3 จุด คือ
- ใต้ราวนม (Inframammary Incision) เป็นตำแหน่งที่นิยมที่สุด เพราะซ่อนแผลได้ง่าย ดูเนียน และทำให้แพทย์สามารถควบคุมการวางซิลิโคนได้แม่นยำ ผลลัพธ์ออกมาสวยและลดโอกาสเกิดพังผืด
- รอบปานนม (Periareolar Incision) ใช้ในกรณีที่ผู้รับบริการต้องการซ่อนแผลไว้รอบปานนม แต่มีข้อจำกัดคืออาจมีผลต่อท่อน้ำนม หรือความรู้สึกบริเวณหัวนมในบางกรณี
- รักแร้ (Transaxillary Incision) เป็นวิธีที่ไม่มีรอยแผลบนหน้าอกเลย แต่จะมองเห็นแผลจะเป็นเส้นบางๆ ใต้รักแร้ และใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า
การเลือกตำแหน่งแผลควรขึ้นอยู่กับโครงสร้างร่างกาย ลักษณะหน้าอก และคำแนะนำของศัลยแพทย์เพื่อให้เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด
3.2 ตำแหน่งวางซิลิโคน
ตำแหน่งการวางซิลิโคนก็มีความสำคัญไม่น้อย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบหลักๆ คือ
- ใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular) เป็นการวางซิลิโคนไว้ใต้กล้ามเนื้อหน้าอก ทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติและลดความเสี่ยงในการเกิดพังผืด แต่ปัจจุบันเป็นที่นิยมน้อยลง เพราะอาจพบปัญหาซิลิโคนขยับได้ เมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ
- เหนือกล้ามเนื้อ (Subglandular) วางซิลิโคนไว้เหนือกล้ามเนื้อ เหมาะกับผู้หญิงที่มีเนื้อหน้าอกเยอะอยู่แล้ว ผลลัพธ์จะดูอวบอิ่มชัดเจน แต่มีความเสี่ยงเกิดพังผืด หรือเกิดปัญหานมแฝดได้
- แบบ Dual Plane คือการผสมผสานระหว่างสองวิธีข้างต้น โดยวางส่วนบนของซิลิโคนไว้ใต้กล้ามเนื้อ และส่วนล่างอยู่เหนือกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่เห็นขอบซิลิโคนบริเวณเนินหน้าอก ด้านล่างมีความคล้อย ดูละมุน เป็นธรรมชาติมากๆ
การวางตำแหน่งซิลิโคนแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน การเลือกที่เหมาะสมจะทำให้หน้าอกดูสวยและลดความเสี่ยงระยะยาวได้ดีที่สุด
4. ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยง
การเสริมหน้าอกมีทั้งข้อดีที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจและรูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็มีความเสี่ยงที่คนไข้ควรรู้และพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
4.1 ข้อดี
- เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง
สำหรับคนที่รู้สึกไม่มั่นใจกับหน้าอกเล็กหรือหย่อนคล้อย การเสริมหน้าอกช่วยสร้างความมั่นใจให้เพิ่มขึ้นแบบเห็นได้ชัด - เสริมรูปร่างให้ดูสมส่วน
ทำให้รูปร่างโดยรวมดูสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแต่งตัวจะรู้สึกว่าใส่อะไรก็ดูดีและมีเสน่ห์มากขึ้น - แก้ไขหน้าอกที่ไม่สมดุล
เหมาะสำหรับผู้ที่มีหน้าอกสองข้างไม่เท่ากัน หรือเคยผ่าตัดเต้านมจากโรคบางอย่าง เช่น มะเร็งเต้านม การเสริมหน้าอก ช่วยให้รูปทรงกลับมาสวยงามเป็นธรรมชาติได้อีกครั้ง
4.2 ข้อควรระวังและผลข้างเคียง
แม้ว่าการศัลยกรรมจะมีเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างมาก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ควรคำนึงถึง ได้แก่
- พังผืดหดรัดรอบซิลิโคน
เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างพังผืดขึ้นรอบซิลิโคนมากเกินไป ทำให้รู้สึกแข็งตึง และต้องเข้ารับการผ่าตัดแก้ไข - การติดเชื้อหลังผ่าตัด
หากดูแลแผลไม่ดี อาจเกิดการติดเชื้อและต้องเอาซิลิโคนออกทันที ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ - ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปบริเวณหัวนม
อาจเกิดอาการชาหรือไวต่อสัมผัสมากกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่จะหายเองในเวลาไม่กี่เดือน - แผลเป็นหรือรอยช้ำ
แม้แพทย์จะพยายามซ่อนแผลให้ดีที่สุด แต่บางกรณีอาจมีรอยชัดเจน โดยเฉพาะหากผู้ป่วยมีแนวโน้มเป็นคีลอยด์
การรู้ข้อดีข้อเสียล่วงหน้าจะช่วยให้สามารถเตรียมตัวรับมือได้ดีขึ้นและตัดสินใจอย่างรอบคอบมากที่สุด
5. เสริมหน้าอกแบบทั่วไป VS เสริมหน้าอกส่องกล้อง ต่างกันอย่างไร?
การเสริมหน้าอกในปัจจุบันมีเทคนิคให้เลือกหลายรูปแบบ หนึ่งในทางเลือกยอดนิยมคือการ “เสริมหน้าอกส่องกล้อง” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดปัญหาและเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัด วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่าการเสริมหน้าอกแบบทั่วไปต่างจากการส่องกล้องเสริมหน้าอกอย่างไร? เหมาะกับใคร? และข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง?
5.1 เสริมหน้าอกแบบทั่วไป คืออะไร?
การเสริมหน้าอกแบบดั้งเดิม คือการที่ศัลยแพทย์เปิดแผลผ่าตัดบริเวณใต้ราวนม, รอบปานนม หรือบริเวณรักแร้ แล้วทำการสร้างโพรงด้วยมือหรือเครื่องมือผ่าตัดพื้นฐาน ก่อนวางซิลิโคนเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ
ลักษณะเด่นของการเสริมหน้าอกแบบทั่วไป :
- ใช้วิธีเปิดแผลและสร้างโพรงวางซิลิโคนโดยตรง
- พึ่งพาทักษะการประเมินด้วยตาและมือของแพทย์
ข้อดี :
- ค่าบริการถูกกว่าแบบส่องกล้อง
- ใช้เวลาในการผ่าตัดสั้นกว่า
ข้อเสีย :
- มีแผลชัดเจนกว่า
- อาจมีความเสี่ยงต่อเส้นประสาทหรือหลอดเลือด
- ฟื้นตัวช้ากว่า
5.2 เสริมหน้าอกส่องกล้อง คืออะไร?
การเสริมหน้าอกส่องกล้อง (Endoscopic Breast) ใช้กล้องขนาดเล็กสอดเข้าไปในแผล เพื่อช่วยให้ศัลยแพทย์มองเห็นโครงสร้างภายในหน้าอกได้อย่างชัดเจนบนจอมอนิเตอร์ขณะผ่าตัด ทำให้สามารถสร้างโพรงได้ละเอียดและแม่นยำกว่าการใช้มือเปล่า
ลักษณะเด่นของการเสริมหน้าอกแบบส่องกล้อง:
- ใช้กล้องขยายภาพหลายเท่า ช่วยให้เห็นเส้นเลือด กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อได้ละเอียด
- ลดการกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง
ข้อดี :
- แผลเล็ก ฟื้นตัวไว และลดโอกาสเกิดพังผืด
- ลดความเสี่ยงต่อเส้นเลือดและเส้นประสาท
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการแผลเล็ก หรือไม่ต้องการให้เห็นแผล
ข้อเสีย :
- อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีทั่วไปอยู่บ้าง
- ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทางของแพทย์ในการใช้เทคโนโลยีส่องกล้อง (Endoscope)
5.3 เสริมหน้าอกแบบไหนเหมาะกับใคร?
- หากคนไข้ไม่กังวลเรื่องแผล วิธีแบบทั่วไปอาจตอบโจทย์
- หากต้องการผลลัพธ์ที่แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และความเสี่ยงน้อย ทำหน้าอกแบบส่องกล้องจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
6. ขั้นตอนการศัลยกรรมหน้าอกที่ BLS Surgery Center
การเสริมหน้าอกไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจในวันเดียวได้ทันที แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการปรึกษา วางแผน และประเมินอย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หลายคนกำลังค้นหาคลินิกเสริมหน้าอก และกำลังตัดสินใจว่าจะเสริมหน้าอกที่ไหนดี? สำหรับผู้ที่สนใจศัลยกรรมหน้าอกที่ BLS Surgery Center ทางคลินิกมีขั้นตอนการให้บริการที่ชัดเจน ปลอดภัย และใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การประเมินเบื้องต้นจนถึงการดูแลติดตามผลหลังการผ่าตัด โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
Step 1 วันเข้าพบแพทย์ครั้งแรก (Pre-op Consultation)
- พบศัลยแพทย์ เพื่อประเมินโครงสร้างหน้าอก ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และวางแผนการผ่าตัดร่วมกัน
- สรุปหัตถการที่เหมาะสม เช่น การเสริมหน้าอก ยกกระชับหน้าอก หรือผสมผสานหลายเทคนิค
- เลือกชนิดและขนาดของซิลิโคน รวมถึงพิจารณาเรื่องตำแหน่งการวางซิลิโคน
- นัดวันผ่าตัด ตามความสะดวกของคนไข้ และความพร้อมของทางคลินิก
- ตรวจร่างกายเบื้องต้นและเจาะเลือด เพื่อเช็กความพร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัด
* ผลตรวจเลือดจะได้รับภายในไม่เกิน 1 เดือนนับจากวันที่ตรวจ
Step 2 วันผ่าตัด (OR Day)
- เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปลอดเชื้อ และเตรียมความพร้อมก่อนเข้าผ่าตัด
- เข้าพบศัลยแพทย์อีกครั้ง เพื่อยืนยันรายละเอียดสุดท้าย เช่น รูปทรง ขนาดซิลิโคน และผลลัพธ์ที่ต้องการ
- วางยาสลบ โดยทีมวิสัญญีแพทย์และทำการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางที่มีประสบการณ์
- พักฟื้นหลังผ่าตัด ในห้องพักฟื้น โดยมีวิสัญญีแพทย์และพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดจนฟื้นตัว
- กลับบ้านได้ในวันเดียวกัน
Step 3 การดูแลหลังผ่าตัดใน 24 ชั่วโมงแรก (Post-op Day 1)
- กลับมาคลินิกในวันถัดไป เพื่อทำแผล
- รับบริการทำแผล โดยเจ้าหน้าที่พยาบาล
- เข้ารับการฉายแสง เพื่อช่วยลดบวม ลดอักเสบ และฟื้นฟูแผลผ่าตัดได้เร็วขึ้น
Step 4 การติดตามผลหลังการศัลยกรรม (Follow-Up Schedule)
เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการ และดูแลแผลอย่างใกล้ชิด คนไข้ควรเข้ามาติดตามอาการตามกำหนด
- 4 วันหลังผ่าตัด: เช็กอาการเบื้องต้น ทำความสะอาดแผล
- 7 วันหลังผ่าตัด: ตรวจสอบการสมานของแผล และประเมินการฟื้นตัว
- 1 เดือน: ประเมินรูปทรงและการเข้าที่ของซิลิโคน
- 3 เดือน: ตรวจเช็กรูปทรงโดยรวม การสัมผัส และตำแหน่งซิลิโคน
- 6 เดือน: ตรวจเช็กผลลัพธ์ในระยะยาว และให้คำแนะนำเพิ่มเติม
แพทย์ BLS Surgery Center ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความพึงพอใจของคนไข้เป็นอันดับแรก มีระบบติดตามอาการอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำปรึกษาตลอดช่วงพักฟื้น และมีบริการเสริมเช่น การฉายแสง ลดอาการบวม และการดูแลรูปทรงให้เข้าที่สวยงามอย่างปลอดภัย
เสริมหน้าอกที่ไหนดี แผลเล็ก ปลอดภัย ดูเป็นธรรมชาติ
7. การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
ก่อนการผ่าตัด การเตรียมตัวอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ และทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น โดยสิ่งที่ควรเตรียมตัวมีดังนี้ :
- คนไข้อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจแมมโมแกรมก่อน เพื่อคัดกรองมะเร็งเต้านม หากพบความผิดปกติ ควรรักษาให้หายก่อน จึงทำการเสริมหน้าอกได้
- งดดื่มน้ำและงดทานอาหาร ตั้งแต่เที่ยงคืนในวันผ่าตัด (อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด) เพื่อป้องกันการสำลักอาหารขณะผ่าตัด
- งดทาเล็บและตัดเล็บให้สั้นก่อนผ่าตัด เพราะตอนผ่าตัด แพทย์จะวัดค่าออกซิเจนที่ปลายนิ้ว หากเกิดปัญหาจะสามารถเห็นได้ทันทีจากปลายเล็บ
- อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย งดทาโลชั่น และควรถอดเครื่องประดับทั้งหมดออก ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- หากทานยาละลายลิ่มเลือด ให้ปรึกษาแพทย์โรคประจำตัวก่อนหยุดยา และหยุดยา 7 วัน ก่อนผ่าตัด
- หากมีโรคประจำตัวให้แจ้งแพทย์ก่อนเสมอ และควบคุมให้อยู่ในภาวะคงที่ 1 เดือนก่อนผ่าตัด
- หากมีโรคประจำตัวที่ต้องทานยาประจำ ในช่วงเช้าให้แจ้งแพทย์ในไลน์เลขาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อแพทย์จะได้ทำการจัดยาช่วงเช้าให้
- กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บป่วยปัจจุบัน แจ้งทราบอย่างน้อย 2 วันก่อนผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- งดวิตามิน อาหารเสริม 2 สัปดาห์ ก่อนผ่าตัด
- สวมเสื้อผ้าหลวมๆ มีซิบหรือกระดุมด้านหน้า ไม่ควรใส่ชุดหรือกางเกงรัดรูป
- ไม่ควรขับรถมาเองคนเดียว ต้องมีผู้ติดตามหรือญาติมาด้วยในวันผ่าตัด
- ควรมาเตรียมตัวก่อนเวลาผ่าตัด 1 ชั่วโมง
- เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน หรือ Passport มาในวันผ่าตัด
- เตรียมจิตใจให้พร้อม ไม่ควรตื่นเต้นมากเกินไป
อาการที่อาจเกิดหลังดมยาสลบ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บคอ เสียงแหบ จะหายได้เองใน 1-3 วัน สามารถทานยา เพื่อบรรเทาอาการได้ หรือหากมีอาการอื่นๆ แนะนำให้เข้ามาตรวจติดตามอาการกับแพทย์
การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาดี และลดความเสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. การดูแลหลังผ่าตัด
หลังจากการผ่าตัด การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้แผลหายเร็ว ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผลลัพธ์สวยงามอย่างที่ตั้งใจไว้
- ประคบเย็นด้วยเจลเย็นรอบๆ แผลผ่าตัด 72 ชั่วโมง (งดประคบอุ่น)
- นอนยกหัวสูง 30-45 องศา และใช้หมอนรองคอ 2 สัปดาห์
- ห้ามแผลโดนน้ำ จนกว่าจะตัดไหม
- เลี่ยงสถานที่มีอากาศร้อน มลภาวะสูง หรือที่อบอ้าว
- งดออกกำลังกาย 2 สัปดาห์
- ทำแผลตามคำแนะนำของแพทย์
- งดทานของหมักดอง อาหารรสจัด นาน 1 เดือน
- งดแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ นาน 1 เดือน
- วันแรกเช็กแผลว่ามีเลือดซึมไหม ถ้าไม่มี ปิดพลาสเตอร์กันน้ำ จนครบ 7 วัน คอยสังเกตหากมีเลือดซึมให้เปลี่ยนใช้ชิ้นใหม่
- เมื่อครบ 7 วัน เข้ามาเช็กแผลที่คลินิก เพื่อตัดไหม
- ยาลดรอยแผลเป็น ทดลองทา บริเวณข้อพับแขน หากหากมีอาการคัน แสบ มีผื่นแดง ให้เช็ดออกทันที แต่หากไม่มีอาการ สามารถใช้ทาได้ หลังจากตัดไหมไปแล้ว 2-3 วัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี
- Silicone sheet แผ่นแปะลดโอกาสเป็นแผลเป็นนูน สามารถแปะที่แผลได้เลยประมาณ 6 เดือน
- Silicone gel เจลป้องกันการเกิดแผลเป็นนูน ใช้ทาบริเวณแผลเป็น เป็นระยะเวลา 6 เดือน
โดยทั่วไปแล้ว หน้าอกจะเริ่มเข้าที่และดูเป็นธรรมชาติประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ผู้ที่ดูแลตัวเองดีมักมีผลลัพธ์ที่ออกมาสวยและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
เสริมหน้าอกพักฟื้นกี่วัน กี่เดือนถึงเข้าที่
9. รีวิว ศัลยกรรมหน้าอก อกสวยธรรมชาติ ทรงละมุน ที่ BLS Surgery Center
การศัลยกรรมหน้าอกไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หากคนไข้กำลังมองหาทางเลือกในการปรับรูปร่างอย่างมั่นใจ การพูดคุยกับแพทย์เฉพาะทางคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
หากใครสนใจเสริมหน้าอก หรือยกกระชับหน้าอก สามารถพูดคุย เพื่อขอรับคำปรึกษาหรือซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการศัลยกรรมหน้าอกกับหมอเอิร์ธ ได้ที่ BLS Surgery Center
สามารถตรวจสอบความชำนาญของแพทย์เฉพาะทาง ได้โดยตรงที่ เว็บไซต์แพทยสภา